วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

วันครู



วันครู 16 มกราคมของทุกปี
ประวัติความเป็นมาของวันครู

     มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความ เห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู

     ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญ คุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของ คุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบ ข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า
 
     “ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือ ว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมี บุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง

     จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่ แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครู ในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติ เห็น ควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครู กับประชาชน
บทสวดเคารพครู

          (สวดนำ) ปาเจราจริยาโหนฺติ (รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา
          ปญฺญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ

สวดทำนองสรภัญญะ

          (สวดนำ) อนึ่งข้าคำนับน้อม (รับพร้อมกัน) ต่อพระครูผู้การุณย์
          โอบเอื้อและเจือจุน อนุศาสน์ทุกสิ่งสรรพ์
          ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน
          ชี้แจงและแบ่งปัน ขยายอรรถให้ชัดเจน
          จิตมากด้วยเมตตา และกรุณา บ เอียงเอน
          เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์ ให้ฉลาดและแหลมคม
          ขจัดเขลาบรรเทาโม หะจิตมืดที่งุนงม
          กังขา ณ อารมณ์ ก็สว่างกระจ่างใจ
          คุณส่วนนี้ควรนับ ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร
          ควรนึกและตรึกใน จิตน้อมนิยมชม
          (กราบ)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์มีวิธีการสั่งสอนอย่างไร
       โดยรวมก็คือว่า แนะให้รู้แล้วก็ทำให้ดูอย่างนั้นแหละ ชี้แจงสอนแล้วก็วิถีชีวิตพระองค์เองก็เป็นมาตรฐานแห่งการประพฤติปฏิบัติของเหล่าสาวกทั้งปวง นั่นเป็นอย่างนั้น ก็วิธีการสอนของพระองค์ก็มีหลายรูปแบบ พระองค์จะต้องถือว่าเป็นผู้ที่มีศิลปะการสอนชั้นเลิศ จะสอนอะไรไม่ใช่เจอแล้วก็สอนเหมือนกันทุกคนไม่ใช่ แต่ว่าพระองค์ใช้การระลึกชาติไปดูก่อนว่า บุคคลผู้นี้ภพในอดีตเคยสั่งสมอะไรมาบ้าง พอพระองค์สอนผู้ฟังจะมีความรู้สึกว่า แบบ ถ้าใช้ศัพท์ปัจจุบันคือโดนจริงๆเลย โดน ฟังแล้วนี่เข้าใจแล้วก็ซาบซึ้ง บอกเหมือนหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง จุดประทีปในที่มืด เปรียบเทียบอย่างนั้นเลย แล้วพระองค์จะมีศิลปะนะคือว่า ไม่ใช่ว่าเขาทำอะไรไม่ถูกอยู่ๆไปถึงบอก นี่คุณผิดนะอย่างงั้นๆ ไม่ใช่ แต่พระองค์ใช้วิธีการดัด ดัดให้เขาได้คิดขึ้นมา แต่ไม่ใช่ใช้วิธีการสวน

     ยกตัวอย่าง มีอยู่คราวหนึ่งพระองค์ไปถึงเห็น สิงฆารกะมานพกำลังยืนไหว้ ไหว้ไปข้างหน้า ไหว้ไปข้างหลัง ไหว้ไปข้างซ้าย ไหว้ไปข้างขวา แล้วก็ไหว้ไปบนฟ้า แล้วก้มไหว้ดินอีก ยืนไหว้อยู่อย่างนี้ ไหว้ไปไหว้มาสลับไปสลับมา เพราะก่อนพ่อแม่จะตายสั่งไว้ว่า ให้ไหว้ทิศทั้ง 6 ซ้ายขวาหน้าหลังบนล่าง ไหว้ทิศทั้ง 6 พระองค์ก็ยืนดู เพราะพระองค์ทราบแล้วที่มาที่ไป แล้วก็บอกสิงฆารกะมานพว่า เขาถามพระพุทธเจ้าว่าในพระพุทธศาสนามีไหว้ทิศไหม พุทธเจ้าบอกมี ทำให้เขาดีใจรู้สึกว่าเหมือนกัน รู้สึกว่าพวกเดียวกัน แต่พระองค์บอกว่าแต่การไหว้ทิศไม่ได้ไหว้อย่างนี้หรอก พอใจเขาเริ่มเปิดเพราะอยากรู้แล้ว แต่บอกว่าไม่ได้ไหว้อย่างนี้เขาก็อยากรู้ถามไหว้ยังไง พระองค์บอกนี่ไหว้อย่างนี้ ทิศเบื้องหน้าคือพ่อแม่ การไหว้คือ ให้ปฏิบัติตัวเราเองกับพ่อแม่ให้ถูกต้องตามหน้าที่ของลูก แล้วพระองค์ก็สอนว่ามีอะไรบ้าง 1,2,3,4,5 ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา เพราะเป็นหน้าที่ของเราเองที่มีต่อบุตรภรรยา ฝ่ายหญิงก็ต่อสามีเป็นต้น ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหาย ทิศเบื้องล่างก็คือลูกน้องบริวาร ทิศเบื้องบนคือสมณะพราหมณ์ ผู้ทรงศีล หน้าที่ของเราเองที่ปฏิบัติต่อทิศทั้ง 6 นี้ทำอย่างถูกต้องนั่นคือการไหว้ทิศ ทิศ 6 สิงฆารกะมานพพอฟังแล้วใจ สว่างไสว ไหว้ทิศอย่างนี้สุดยอด เยี่ยม ก็ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา แล้วก็ตั้งใจศึกษาธรรมะจากพระพุทธเจ้า นี่เป็นอย่างนี้เห็นไหม นี่คือศิลปะในการสอนของพระองค์

      พระสัมมาสัมพุทะเจ้า ไปเจอคนเคารพพระพรหม พระองค์ก็ไม่ได้บอกว่าไปเคารพทำไม ไม่ถูกอย่างพระองค์บอกว่า เธออยากจะไหว้พรหมตัวจริงไหมล่ะ ให้ถูกหลัก อยากทำยังไงหรือพระยะค่ะ ให้ทำอย่างนี้นะ ให้ประพฤติพรหมวิหารธรรม ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ของพรหม คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี่แหละทำ 4 ข้อนี้ตัวเองจะได้เป็นพรหมด้วยตั้งแต่เป็นพรหมเดินดินบนโลกเลย ละโลกไปแล้วมีสิทธิ์เป็นพรหมอยู่บนสวรรค์ชั้นอรูปภพ อรูปพรหม เป็นต้น

      พระองค์ยังมีศิลปะในการขยายแล้วก็ให้นัยยะที่ถูกต้อง ซึ่งมีความลุ่มลึกลึกซึ้งอย่างเรื่องทิศ 6 พระเจ้าอโศกมหาราชถึงขนาดทำจาลึกพระเจ้าอโศกแกะสลักในหิน แล้วก็ส่งไปปิดประกาศตั้งไว้ในดินแดนพระองค์ตลอดทั้งอินเดีย บอกว่าให้ผสกนิกรตั้งใจศึกษาทิศทั้ง 6 ที่พุทธเจ้าสอนไว้ให้ดี เพราะพระองค์เห็นว่าแค่ทิศ 6 หมวดธรรมเดียวก็ได้อะไรตั้งหลายอย่าง ถ้าเกิดประชากรของพระองค์ตั้งใจปฏิบัติตามทิศ 6 บ้านเมืองสงบร่มเย็นเจริญรุ่งเรืองแน่นอน ถึงขนาดจาลึกอโศกสั่งให้ศึกษาเลย

       มีอยู่คราวหนึ่งพระองค์เสด็จไปในชนบท แล้วก็มีกสิภาระทวาชพราหมณ์ กำลังไถนาอยู่ เป็นชาวนาแต่ชาวนาแบบรวย ทำนากันขนานใหญ่ พอเจอพุทธเจ้าเขาก็รู้ว่าเป็นนักบวช บอกว่า พุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ไถ และหว่านแล้วย่อมบริโภค พระองค์ล่ะ ก็ควรจะไถและหว่านแล้วบริโภคเช่นกัน ถ้าพูดภาษาปัจจุบันคือ อย่ามาขอนะฉันต้องทำงานถึงจะมีกินพูดง่ายๆ ไถและหว่าน แล้วบริโภค ถ้าพระองค์อยากจะบริโภคก็ต้องไถและหว่านต้องทำงานเหมือนกัน เรียกว่าเราเคยเจอคนประเภทนี้ ยุคปัจจุบัน มีชนิดที่ว่า พระไม่ทำงานเบียดเบียนสังคมหรือเปล่า ต้องทำงานสิถึงจะมีกิน อย่างนี้ พุทธเจ้าพระองค์ตอบว่าดูก่อนพราหมณ์ ตถาคต ไถและหว่านแล้วจึงบริโภค พราหมณ์ชักงงแล้วมองพุทธเจ้า ข้าพระองค์ไม่เห็นพระองค์มีไถอยู่ที่ไหนเลยเชือกก็ไม่เห็น ปฏักตระแบกอะไรต่างๆที่ไถ คันไถอะไรก็ไม่เห็นเลย แล้วพระองค์บอกว่าไถและหว่านยังไงไม่เข้าใจ เห็นเดินถือบาตรมาเท่านั้นเอง พระองค์ว่า

       ศรัทธาเป็นพืช เหมือนกับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่หว่านไป ความเพียรนี่จะเป็นฝนโปรยปรายให้ศรัทธานี้งอกงาม ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริคือความละอายต่อบาปนั้นจะเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาน ผานที่ตักดินขึ้นมานี่นะ และปฏักเรามีกายคุ้มครองแล้ว มีวาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราทำการดายหญ้า หญ้าในที่นี้ก็คือวาจาสัปปรับที่กลับไปกลับมาไม่จริง ด้วยคำสัตย์ โสรัจจะ ของเราเป็นเครื่องให้แล้วเสร็จงาน ความเพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง นำไปถึงความเกษมจากกิเลสทั้งปวงไม่ถอยหลัง นำไปยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก เราทำนาอย่างนี้ นาที่เราทำย่อมมีผลเป็นอมตะ บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

      กสิภาระทวาชพราหมณ์ กราบทูลว่า ท่านพระโคดมผู้เป็นชาวนาขอพระองค์จงบริโภคอมตะผลที่ท่านพระโคดมไถนั้นเถิด ยังแค่เชื่อท่านทำนาอย่างนั้นท่านก็บริโภคอย่างนั้นก็อมตะผลนี่นะพูดอย่างนั้น พุทธเจ้าบอกว่า เราไม่พึงบริโภคโภชนะซึ่งได้เพราะความขับกล่อมไม่ใช่มาพูดเพราะๆอย่างที่ นักบวชศาสนาอื่นมาแสดงดนตรีอะไรต่อมิอะไรต่างๆไม่ใช่ ดูก่อนพราหมณ์ นี่เป็นธรรมบุคคลที่เห็นอรรถและธรรมอยู่ ท่านผู้รู้ทั้งหลายย่อมรังเกียจโภชนะที่ได้เพราะการขับกล่อม ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ ความเป็นไป (ก็คือการประกอบอาชีพนี้ก็ยังมีอยู่) ท่านจงบำรุงซึ่งพระขีณาสพ(ก็คือพระอรหันต์ทั้งสิ้น) ผู้แสวงหาคุณใหญ่ มีความคะนองระงับแล้วด้วยข้าวน้ำอันอื่น เพราะว่าการบำรุงนั้นเป็นนาบุญของผู้มุ่งบุญ คือปูมาแต่คนนั้นอาจจะมีทิฏฐิอยู่

        กสิภาระทวาชพราหมณ์ กราบทูลพุทธเจ้าบอกว่า ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นได้ ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฝากคุณครูทั้งหลาย จะเป็นยอดครูละก็ ต้องศึกษาวิธีการสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราจะได้ข้อคิดทั้งวิธีการถ่ายทอด ทั้งเนื้อหาสาระที่พระองค์ให้ แล้วยิ่งศึกษาจะยิ่งมีความซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์



     ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น วันครูโดย เอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดัง กล่าวได้

วันครูทางพระพุทธศาสนา คือวันอะไร

     ถ้าเราถือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นเป็นบรมครูของเรา วันที่เนื่องด้วยพระองค์ก็คือวันวิสาขะบูชา ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน จะถือวันนี้ก็คงจะได้ เราไม่ได้มีการกำหนดตายตัวหรอก แต่ถือวันนี้ก็ได้เหมือนกัน หรือว่าบางท่านอาจจะถือว่าพระธรรมเป็นใหญ่ ก็อาจจะถือวันที่พระองค์แสดงธรรมครั้งแรก ก็คือวันอาสาฬหะบูชาก็ได้ ที่พระองค์แสดงปฐมเทศนาธัมมจักรกัปปวัฒนสูตรให้กับปัญจวัคคี ก็ได้เหมือนกัน

การบูชาพระคุณของครู ในทางพระพุทธศาสนามีวิธีการอย่างไร

     สุดยอดของการบูชาคือการปฏิบัติบูชา ทำตามสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สอนเอาไว้ หลักก็คือสำหรับพวกเราที่ครองเรือนอยู่ วิถีชีวิตชาวพุทธก็คือ ให้ทาน รักษาศีล แล้วก็ตั้งใจเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา
 

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

วันเด็ก



ย้อนไป พ.ศ.2498 ได้เกิดปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็กขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติทั่วโลกเกิดความตื่นตัวและเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้ความสำคัญแก่เด็กๆ
ของตนมากขึ้น การขานรับเป็นไปอย่างกว้างขวาง ในปีเดียวกันนั้นเองทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ประเทศ จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของตนขึ้น
โดยกำหนดกันว่าจะถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ  สำหรับประเทศไทย รับข้อเสนอของนายวี เอ็ม กุลกานี
ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ซึ่งบอกผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยว่าไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติ
ิเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของเด็กให้มากขึ้น ดังที่นานาประเทศกำลังทำอยู่คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาตินำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม
ในที่สุดที่ได้รับมติเห็นชอบนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ในต่อมาวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2498คณะรัฐมนตรีมีมติรับหลักการให้จัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น
มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ รับไปดำเนินการส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดงานได้อนุมัติเงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลมาดำเนินการ
3 ตุลาคม พ.ศ.2498 คือวันเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติครั้งแรกของประเทศไทย จากนั้นเป็นต้นมาราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี
เป็นวันเด็กแห่งชาติ จัดติดต่อกันมาจนถึงปี 2506 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้นมีความเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงาน
วันเด็กแห่งชาติเสียใหม่ เพื่อความเหมาะสม ด้วยเหตุผลว่าเดือนตุลาคมสำหรับประเทศไทย เป็นเดือนที่ยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็กๆไม่สะดวกในการเดินทางมาร่วมงาน
นอกจากนี้วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครองจึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้ ทั้งการจราจรก็ติดขัดจึงเห็นว่าควรจะเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม
เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ได้สะดวกสบายขึ้นและมีความเหมาะสมมากกว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการจัดงานวัดเด็กแห่งชาติเสนอมา
ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507จึงประกาศเปลี่ยนงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ จากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม เป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ด้วยเหตุนี้ปี 2507
จึงไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว งานวันเด็กแห่งชาติเริ่มจัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 2508 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันเด็กแห่งชาติที่รัฐบาลไทยกำหนดไว้คือ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก สนใจในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็ก
และช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กและและเยาวชนยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเพื่อให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตนและอยู่ในระเบียบวินัยอันดีและเพื่อเผยแพร่ปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิของเด็ก คำขวัญวันเด็ก
เป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก
จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็ก ปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับ คำขวัญวันเด็กตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  มีดังนี้ค่ะ
พ.ศ. 2499 - จอมพล ป.พิบูลสงคราม : จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม
พ.ศ. 2502 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า
พ.ศ. 2503 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด
พ.ศ. 2504 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย
พ.ศ. 2505 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด
พ.ศ. 2506 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ : ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด
พ.ศ. 2507 : ไม่มีคำขวัญ เนื่องจากงดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
พ.ศ. 2508 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี
พ.ศ. 2509 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี
พ.ศ. 2510 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย
พ.ศ. 2511 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง
พ.ศ. 2512 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
พ.ศ. 2513 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส
พ.ศ. 2514 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
พ.ศ. 2515 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
พ.ศ. 2516 - จอมพล ถนอม กิตติขจร : เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ. 2517 - นายสัญญา ธรรมศักดิ์ : สามัคคีคือพลัง
พ.ศ. 2518 - นายสัญญา ธรรมศักดิ์ : เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี
พ.ศ. 2519 - หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช : เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้
พ.ศ. 2520 - นายธานินทร์ กรัยวิเชียร : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย
พ.ศ. 2521 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ. 2522 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
พ.ศ. 2523 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ : อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2524 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
พ.ศ. 2525 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2526 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม
พ.ศ. 2527 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา
พ.ศ. 2528 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
พ.ศ. 2529 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2530 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2531 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ : นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2532 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2533 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2534 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ : รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
พ.ศ. 2535 - นายอานันท์ ปันยารชุน : สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
พ.ศ. 2536 - นายชวน หลีกภัย : ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2537 - นายชวน หลีกภัย : ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2538 - นายชวน หลีกภัย : สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2539 - นายบรรหาร ศิลปอาชา : มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
พ.ศ. 2540 - พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ : รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
พ.ศ. 2541 - นายชวน หลีกภัย : ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2542 - นายชวน หลีกภัย : ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2543 - นายชวน หลีกภัย : มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2544 - นายชวน หลีกภัย : มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2545 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ. 2546 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ. 2547 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ. 2548 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ. 2549 - พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร : อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด
พ.ศ. 2550 - พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ : มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ.2551 - พลเอก สุรยุธ์ จุลานนท์ : สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ.2552 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคี
พ.ศ.2553 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ.2554 - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ
พ.ศ.2555 - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : สามัคคี มีความรู้ คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี
พ.ศ.2556 - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน